Category: สังคมทั่วไป

ความแตกต่างของโรงเรียนหญิงล้วน สำหรับในวงการศึกษาของประเทศไทยนั้นโรงเรียนยังคงแบ่งออกเป็น 3 แบบด้วยกันนั่นก็คือโรงเรียนที่มีเด็กนักเรียนทั้งผู้หญิงและผู้ชายเรียนหนังสืออยู่ด้วยกัน โรงเรียนแบบนี้เราเรียกว่าโรงเรียนแบบสหศึกษานอกจากนี้ยังมีโรงเรียนที่ให้เด็กผู้ชายเข้าเรียนเพียงอย่างเดียวเท่านั้นเราเรียกว่าโรงเรียนชายล้วนและยังมีโรงเรียนที่ให้เด็กผู้หญิงเรียนเพียงอย่างเดียวเท่านั้นนั่นคือโรงเรียนหญิงล้วน        อย่างไรก็ตามหลายคนคงสงสัยว่าถ้าหากว่าเรามีลูกหลานเราจะตัดสินใจให้ลูกหลานของเราเรียนโรงเรียนสหหรือเรียนโรงเรียนชายล้วนหรือโรงเรียนหญิงล้วนกันแน่แน่นอนว่าตัดปัญหาในเรื่องของการเลือกโรงเรียนชายล้วนกับโรงเรียนหญิงล้วนไปได้เลย เพราะถ้าหากว่าเรามีลูกชายเราก็คงจะต้องให้โรงเรียนสำหรับเพศชายหรือถ้าเรามีลูกสาวเราก็คงให้เรียนสำหรับเพศหญิงแต่หลายคนอาจจะมานีแนวความคิดว่าถ้าหากเราให้เรียนตามเพศของลูกของเรากับเราให้เรียนแบบชายหญิงเรียนผสมกันแบบไหนนั้นจะดีกว่ากัน       สำหรับโรงเรียนหญิงล้วนนั้นจะมีแต่เด็กผู้หญิงเข้าไปเรียนดังนั้นเด็กๆก็มักจะทำตัวตามสบายทำอะไรก็ไม่ต้องมานั่งอายกลัวว่าผู้ชายจะมาเห็น

การเมืองไทยกับการกระจายอำนาจ หลายคนคงเคยได้ยินการกระจายอำนาจคำว่ากระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นนั้นเกิดขึ้นในยุคสมัยของท่านพลเอกชวลิตยงใจยุทธเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยนั้นทำให้เกิดการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลเทศบาลตำบลเทศบาลเมืององค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งวัตถุประสงค์ในการกระจายอำนาจครั้งนั้นเพื่อต้องการให้ท้องถิ่นดูแลปกครองพี่น้องประชาชนในท้องที่กันเองโดยการสนับสนุนจากส่วนกลางจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นสังกัดอยู่ในกระทรวงมหาดไทยหลายสิ่งหลายอย่างก็มีข้อร้องเรียนคัดค้านและก็สนับสนุนแล้วแต่พื้นที่แล้ว แต่ท้องที่แต่ละที่ไม่เหมือนกันเมื่อ 1 อาทิตย์ที่ผ่านมามีข่าวครึกโครมเกี่ยวกับเสาไฟฟ้ากินรีขององค์การบริหารส่วนตำบลราชาเทวะจังหวัดสมุทรปราการองค์การบริหารส่วนตำบลราชาเทวะจังหวัดสมุทรปราการ มีงบประมาณรายได้หลายร้อยล้านบาทบริหารจัดการตามนโยบายของรัฐบาลคือบริหารตัวเองด้วยข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีของตัวเองแต่เป็นที่ค้านสายตาของคนทั่วไปเมื่อเป็นข่าวขึ้นมาคือการอนุมัติโครงการเสาไฟฟ้ากินรีซึ่งต้นละประมาณ 90,000 บาทแต่บางโครงการเป็นที่ป่ารกร้าง ซึ่งไม่มีคนสัญจรหลายคนสงสัยว่าทำไมองค์การบริหารส่วนตำ

การวิจัยมากขึ้นเรื่อยๆ ระบุว่าดนตรีสามารถช่วยฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บที่สมองได้ เช่น จากโรคหลอดเลือดสมอง การศึกษาในปี 2008 ที่ดำเนินการโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเฮลซิงกิในประเทศฟินแลนด์ ฟังเพลงช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บที่สมอง พบว่าผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่ฟังเพลงประมาณ 2 ชั่วโมงต่อวันมีความจำทางวาจาและความสนใจที่ดีกว่า และอารมณ์เชิงบวกมากกว่าผู้ที่ฟังหนังสือเสียงหรือไม่เลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น จากการศึกษาพบว่าดนตรีอาจช่วยฟื้นฟูคำพูดหลังจากโรคหลอดเลือดสมอง ตัวอย่างเช่น งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ดำเนินการในปี 2556 โดยนักวิจัยจากเกาหลี พบว่าผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่มีปัญหาด้านการสื่อสารหลังโรคหลอดเลือดสมอง แสดงให้เห็นถึงความสามารถทางภาษาที่ดีขึ้นหลังจากการบำบัดด้วยดนตรีทางระบบประสาทเป็นเวลา 1 เดือน แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่เป็นไปได้ของดนตรีบำบัดสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง Barbara Else บอกกับ MNT “ในขณะที่ผลการวิจัยทางประสาทวิทยาและการวิจัยเกี่ยวกับการแทรกแซงทางดนตรีที่หลากหลายที่ใช้เพื่อสนับสนุนการพูด ภาษา และการสื่อสารกำลังเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็ว นี่เป็นพื้นที่ที่น่าตื่นเต้น เมื่