นับตั้งแต่ภาวะมลพิษค่าฝุ่น 2.5PM เกิดขึ้นในประเทศไทย ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วนั้น ปัญหานี้เหมือนไม่ได้ถูกแก้กันอย่างจริงจัง ซึ่งในช่วงแรกๆนั้น มีการออกกฎกันอย่างมากมายว่าห้ามตัดไม้ทำลายป่า ห้ามรถที่มีควันดำวิ่งอยู่บนท้องถนน หรือขอความร่วมมือให้งดจุดธูปหรือเทียน เมื่อพวกเราไปเข้าวัดเข้าวา ฯลฯ อีกมากมาย
แต่ประเทศไทยก็คือประเทศไทย รณณรงค์กันชั่วคราว แต่ไม่เคยทำอะไรกันจริงจัง จนมาถึงการแพร่ระบาดของไข้โควิด 19 ซึ่งเป็นไข้ที่สามารถติดต่อกันได้หากมีการไอ หรือจาม ใส่หน้าฝั่งตนข้าม หรือมีสารคัดหลั่งที่ไปโดนตัว ซึ่งทำให้คนไทยหลายๆ คนต้องมีหน้ากากอนามัยติดพกไว้เพื่อป้องกันตัว เวลาออกไปข้างนอก หรือไปใช้ชีวิตหรือธุระที่ต้องพบปะกับคนภายนอกมากมาย หรือต้องอยู่ร่วมกับกลุ่มคนเยอะๆ ในระยะเวลานาน
แต่ทุกวันนี้ หน้ากากอนามัยกลับกายเป็นสิ่งของที่มีค่าและหายากทีสุดในประเทศไทย เนื่องจากการระบาดของโรคนี้อย่างต่อเนื่อง ขยายวงกว้าง และกินเวลามาค่อนข้างนาน ทำให้หน้ากากอนามัยเริ่มขาดแคลน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เริ่มมีพ่อค้าหรือแม่ค้าหัวใส นำมาเร่ขาย และโพสต์ขายลงในเว็บซื้อขายกันตามออนไลน์ ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าบางท่าน ก็มี สต๊อกคลังสินค้าเก็บไว้อยู่แล้ว แต่บางท่านก็ไปกว้านซื้อมาตุน และนำมาปล่อยขายปลีกในราคาแพง
ทำให้เกิดคำถามจากประชาชนว่าภาครัฐที่มีหน้าที่ต้องดูแลความรับผิดชอบเรื่องเหล่านี้ ทำไมถึงไม่ออกมาแก้ปัญหา ซึ่งพอนานเข้า ปัญหาเริ่มบานปลาย เริ่มมีการโก่งราคาและกักตุนสินค้าเหล่านี้กันมากขึ้น ของเริ่มขาดตลาด คนไทยบางคนโพสต์ตั้งคำถามในออนไลน์ว่า ทำไมของพวกนี้ถึงกักตุนกันได้ง่าย มันต้องมีเบื้องหลังสิ ไม่งั้นจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้อย่างไร ซึ่งคำถามนี้เป็นคำถามจั่วหัว ที่เป็นเรื่องพูดคุยกันมาตลอดระยะเวลาเกือบสองอาทิตย์
จนในที่สุดความจริงก็ถูกเปิดเผย เมื่อมีคนบางกลุ่มได้ล่วงรู้ความลับของนักการเมืองในรัฐบาลที่ได้ทำการเป็นกระบวนการกักตุนสินค้าเหล่านี้ไว้เป็นของตัวเอง ซึ่งกักตุนไว้ไม่ต่ำกว่า สองล้านชิ้น และนำไปขายให้กับประเทศจีน จากราคาขายเดิมที่ก่อนเกิดภาวะ โควิดนี้ อยู่ที่ชิ้นละ 2 บาท แต่ราคาที่นักการเมืองนั้นขายให้กับประเทศจีน อยู่ที่ 14 บาท ซึ่งนั่นเท่ากับว่านี่คือการทำร้ายคนไทยด้วยกันเอง และหากินกับความเดือดร้อนและชีวิตของพี่น้องชาวไทย แต่เห็นกับประโยชน์ส่วนตน แน่นอนหล่ะปัญหานี้คงไม่จบง่ายๆ และคาดว่าจะเป็นชนวนที่ทำให้รัฐบาลชุดนี้อาจจะอยู่ต่อไม่ได้ในอนาคต