ส่วนในเรื่องของการประทับรอยพระพุทธบาท บางแห่งบางสถานที่ก็ว่ากันว่าพญานาคได้ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าไปแสดงธรรมเทศนาในนาคพิภพ(ที่อยู่ของพญานาค) เมื่อพระพุทธเจ้าจะเสด็จกลับพญานาคได้ทูลขออนุสาวรีย์ที่จะนำไว้จารึกบูชาจากพระองค์
พระพุทธเจ้าจึงอธิษฐาน ประทับรอยพระพุทธบาทไว้ที่หาดทรายแม่น้ำนัมมทา และพวกพญานาคทั้งหลายจึงต่างพากันมากราบไหว้บูชารอยพระพุทธบาทแทนพระองค์ต่อมาพวกประชาชนทั่วไปที่เป็นชาวพุทธก็ได้ทราบเรื่องนี้เข้า จึงได้ไปกราบไหว้นมัสการทำการบูชารอยพระพุทธบาทและสืบต่อกันมา
โดยนำเอาเครื่องสักการะใส่ลงไปในกระทงและนำไปลอยในน้ำ และปรเพณีลอยกระทงในวันเพ็ญ เดือน 12 หรือวันออกพรรษา เพื่อถือว่าเป็นการเฉลิมฉลองวันคล้ายวันที่พระพุทธเจ้านั้นได้เสด็จกลับลงมาสู่บนโลกมนุษย์อีกครั้ง หลังจากการจำพรรษาสามเดือน ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อแสดงธรรมทรงโปรดพุทธมารดา
พวกเหล่าเทพเทวดาต่างๆก็ได้พากันออกมารับเสด็จเป็นจำนวนมากจนนับไม่ถ้วน และมาพร้อมกับเครื่องสักการบูชา
ซึ่งเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงได้เปิดให้ประชาชนได้เห็นสวรรค์และนรกด้วยอิทฤทธิ์ของพระองค์เองประชาชนจึงพากันลอยกระทง เพื่อเฉลิมฉลองและรับเสด็จพระพุทธเจ้าส่วนการลอยกระทงตามประทีป(การจุดไฟในตะเกียงหรือโคมด้วยดินเผาเล็กๆ) เพื่อไปบูชาพระเกศแก้วจุฬามณีบนสรวงสรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น ก็เพราะตรงกับวันที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จออกบวชบรรพชาที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา
พระพุทธเจ้าทรงได้ใช้พระขรรค์ตัดพระเกศโมลีขาด และลอยไปในอากาศตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงอธิษฐาน พระอินทร์จึงนำผอบแก้วมาบรรจุพระเกศของโมลีแล้วนำไปประดิษฐานไว้ในจุฬามณีเจดีย์ บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์